ไม่ทดสอบพรากของรักไปจากเด็ก
การหยอกเย้าเด็กด้วยการแกล้ง ให้เด็กรู้สึกว่ากำลังจะสูญเสียหรือพรากจาก เป็นเรื่องที่ส่งผลต่อโครงสร้างของจิตใจเด็ก
ไม่ว่าจะมีผู้ใหญ่ที่รู้สึกสนุกกับการหยอกเด็ก หรือไม่ว่าจะมีผู้ใหญ่ที่อยากพิสูจน์อยากทดสอบ ว่าเด็กรักในตัวบุคคลหรือในวัตถุนั้นๆ อยู่มากแค่ไหน เห็นแล้วรู้สึกชอบใจ ที่เด็กมีความรักให้กับสิ่งเหล่านั้น
การจะทำเรื่องนี้ หากจะทำเพื่อการกระตุ้นให้เด็กรู้สึกตระหนักหวงแหนมากยิ่งขึ้น หรือรักมากยิ่งขึ้น จะต้องกระทำโดยมีแบบแผนมีความเหมาะสมมีวิจารณญาณ และมีวิธีที่ถูก ไม่ทำพร่ำเพรื่อและต้องทำเพื่อการสอนสั่ง มิใช่ทำเพื่อเล่นสนุก
และควรทำอย่างเหมาะสมกับสภาพความเปราะบางของเด็ก ไม่ควรใช้วิธีที่เข้มข้นแรงเกินไป
เมื่อทำลงไปแล้ว ต้องชี้แจงสิ่งที่สอน ให้เขาเข้าใจด้วย เช่น ในเด็กที่มีพฤติกรรมไม่รักษาของทิ้งขว้างของ ให้เข้าใจว่าสิ่งของมีโอกาสที่จะหายได้อย่างไร และเวลาที่ของหาย รู้สึกถึงคุณค่าของสิ่งของอย่างไร
หรือในเด็กที่มีพฤติกรรม เกเร ไม่เหมาะเข้ากับผู้คน ก็ต้องสอนหลังจากให้บทเรียนด้วยว่า ในยามที่ผู้คนหนีเลี่ยงออกห่างจากเด็กนั้นเพราะอะไร
เพราะหากกระทำลงไปอย่างปราศจากแบบแผนที่ดี ทำลงไปแล้วปล่อยให้เด็กเสียใจฟุ้งซ่านอยู่คนเดียวกลไกลระบบความคิดของเด็กอาจจะผลิตโครงสร้างผิดๆมาประกอบกับเหตการณ์ได้หรืออาจมีความผูกใจ เพิ่มจิตนิสัยเกรี้ยวกราด หรือมีลักษณะของความวิตกกังวล เพิ่มขึ้น
ความรักความหวงนั้น เป็นเรื่องที่มีทั้งรูปแบบที่มีข้อดี และรูปแบบที่มีข้อเสีย การฝึกให้เด็กกลายเป็นคนที่หวงของมากๆ อย่างขาดวิจารณญาณแยกแยะ และความสมเหตสมผลก็เป็นสิ่งไม่ควร
การฝึกให้เด็กผูกใจรักในตัวบุคคล ยึดติดมากๆ จนมีความกลัวความผวาที่จะพรากห่าง นั่นก็เป็นลักษณะที่ไม่ควรเช่นกัน
แม้ว่า พ่อแม่หลายคนจะเชื่อว่าอีกหน่อยพอลูกๆโตขึ้นก็คงจะเข้าใจได้เองและเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมได้เองนั้น ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปได้จริงอยู่ แต่การสร้างปมใดปมหนึ่งที่ผิดปกติขึ้นในวัยเด็กนั้น จะสามารถส่งผลเชื่อมโยงไปในระบบความคิดความอ่าน ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมอื่นๆได้ภายภาคหน้า จากชั้นของจิตสำนึกที่ฝังลงลึกมากตั้งแต่วัยเด็กนั่นเอง